เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 กรกฎาคม ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.163/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 และมารดาของผู้ตาย เป็นโจทก์และโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายติ๊งต่าง หรือหนุ่ย ไม่มีนามสกุล เป็นจำเลย ในความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่ออนาจาร, พาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเพื่ออนาจาร, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วยความโหดร้ายทารุณ ตามกฎหมายอาญา มาตรา 277, 277 ทวิ, 283 ทวิ, 288, 289, 310 และ 317
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่าเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 เวลากลางวันถึงเวลากลางคืนหลังเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยได้พรากด.ญ.นิด (นามสมมุติ) ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 4 ปีเศษไปเสียจากนายสมบุญ (นามสมมุติ) ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นตาและผู้ปกครอง เพื่อกระทำอนาจาร โดยจำเลยพูดจาหลอกล่อว่าจะพาไปเดินเล่นและพาไปซื้อขนม ผู้เสียหายที่ 1 จึงยินยอมไปด้วย จากนั้นผู้เสียหายที่ 1 ต้องการกลับไปหาผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นตา แต่จำเลยไม่ยอมให้กลับ จำเลยได้ข่มขืนใจผู้เสียหายที่ 1 ให้ไปกับจำเลยโดยใช้กำลังประทุษร้ายฉุดลากเข้าไปในป่าละเมาะ ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 400 เมตร จนผู้เสียหายที่ 1 ต้องยอมเข้าไปในป่าละเมาะกับจำเลย และจำเลยได้หน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ยอมให้กลับไปหาผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นตา อันเป็นการทำให้ผู้เสียหายที่ 1 ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และได้กระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 จนสำเร็จความใคร่ โดยผู้เสียหายที่ 1 ไม่ยินยอมและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จากนั้นจำเลยได้ฆ่าผู้เสียหายที่ 1 โดยใช้มือบีบคอผู้เสียหายที่ 1 ทำให้ผู้เสียหายที่ 1 ขาดอากาศหายใจโดยทรมานหรือทารุณโหดร้าย และถึงแก่ความตายสมเจตนาฆ่าของจำเลย เหตุเกิดที่ ต.กุดป่อง อ.เมืองเลย จ.เลยจำเลยให้การรับสารภาพ
โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวนายติ๊งต่าง มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ขณะที่มีมารดาและตาของด.ญ.นิดมาร่วมฟังคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้วเห็นว่า ในวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 นายสมบุญ ตาของด.ญ.นิด ได้ไปขายสินค้าในงานกาชาดของอำเภอเมืองเลย โดยพาด.ญ.นิด หลานสาวไปด้วย ขณะที่ด.ญ.นิดได้ขอไปวิ่งเล่นภายในงาน จึงได้อนุญาตให้ไป หลังจากนั้นไม่มีใครพบด.ญ.นิดอีก นายสมบุญจึงได้เข้าแจ้งความที่สภ.เมืองเลย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมจำเลยที่ก่อเหตุข่มขืนและฆ่าน้องการ์ตูน (นามสมมุติ) ได้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2556 ซึ่งจำเลยก็รับสารภาพว่าได้ก่อเหตุชำเราและฆ่าด.ญ.นิดด้วย โดยหลอกด.ญ.นิดออกจากงานกาชาดและใช้กำลังพาเข้าไปในป่าละเมาะหลังสำนักงานประปาภูมิภาคจังหวัดเลย จากนั้นได้กระทำชำเราด.ญ.นิดจนสำเร็จความใคร่ และบีบคอด.ญ.นิดจนสลบ ก่อนทิ้งด.ญ.นิดไว้ในป่าละเมาะและหนีไป เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในวันที่ 18 ธันวาคม 2556 พบกะโหลกศรีษะ โครงกระดูก และเสื้อผ้าของด.ญ.นิด โดยนายสมบุญยืนยันว่าเป็นเสื้อผ้าที่ด.ญ.นิดใส่ในวันเกิดเหตุ และเมื่อนำโครงกระดูก และเสื้อผ้าของด.ญ.นิด ไปตรวจพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) เปรียบเทียบกับมารดาแล้วปรากฎว่าผลตรวจตรงกับมารดาของด.ญ.นิดจริง คดีนี้แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน แต่คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยก็มีทนายร่วมอยู่ด้วยตลอด จึงไม่เป็นข้อพิรุธว่าจำเลยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจข่มขู่ และไม่มีเหตุสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะบันทึกคำให้การกลั่นแกล้ง พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง
อนึ่ง แม้ว่าข้อเท็จจริงตามบันทึกคำให้การของจำเลยจะให้การว่ายังไม่ได้ข่มขืนชำเรา ด.ญ.นิด แค่ทำอนาจารเท่านั้น ศาลเห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยเป็นการกระทำชำเราแล้วแต่ไม่บรรลุผล เนื่องจากมีคนเดินเข้ามาใกล้ที่เกิดเหตุ ประกอบกับสรีระของด.ญ.นิดที่อายุ 5 ปี ยังไม่รองรับกับการมีเพศสัมพันธ์การกระทำของจำเลยจึงอยู่ในขั้นความผิดพยายามกระทำชำเรา ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี และเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายได้
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม, 283 ทวิ วรรคสอง, 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 80, 277 ทวิ (2), 310 วรรคสอง, 289 (5)(7) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากผู้ปกครองโดยปราศจากเหตุอันควรเพื่อการอนาจาร จำคุก 6 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 (12) เป็นจำคุก 9 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพจนถึงแก่ความตาย, ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเพื่อการอนาจาร และฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี และเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี และเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย อันเป็นบทที่มีโทษหนักสุด จำคุกตลอดชีวิต และฐานฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน หรือทารุณโหดร้ายเพื่อปกปิดความผิด หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ให้ประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง รวมคงจำคุกตลอดชีวิต และให้นับโทษต่อจากคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 990/2557 ของศาลจังหวัดพระโขนง ส่วนคดีอาญาหมายเลขดำ อ. 514/2558 ของศาลนี้ ยังไม่มีคำพิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อไป
ภายหลัง มารดาของด.ญ.นิด กล่าวว่า ยังติดใจคำพิพากษาของศาล เนื่องจากจำเลยเคยกระทำผิดและถูกจำคุกมาครั้งหนึ่งแล้ว และเมื่อได้รับการปล่อยตัวก็ออกมาก่อเหตุซ้ำอีก ซึ่งคดีของน้องการ์ตูนศาลก็ได้พิพากษาให้ประหารชีวิตและลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต จำเลยก็ยังทำผิดในคดีนี้อีก ดังนั้น น่าจะมีการลงโทษให้หนักขึ้น เพราะหากภายหลังจำเลยได้รับการปล่อยตัวในคดีนี้ก็กังวลว่าอาจจะมาก่อเหตุอีก แล้วใครจะรับผิดชอบ ส่วนการเยียวยานั้นตนได้รับเงินจากกรมคุ้มครองสิทธิ์ 1 แสนบาทเท่านั้น ขณะที่หลังเกิดเหตุจำเลยก็ไม่เคยมาขอโทษตน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายหนุ่ย หรือติ๊งต่าง ยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอาญาอีก 1 สำนวนด้วย คือ คดีหมายเลขดำ อ.514/2558ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายหนุ่ย ในความผิดลักษณะเดียวกัน กรณีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2556 จำเลยได้พรากตัวน้องแม็ก เด็กชายอายุ 7 ขวบ ไปจากผู้ปกครอง และได้กระทำชำเราเด็กชายผ่านทางทวารหนักแล้วบีบคอจนเสียชีวิต เหตุเกิดที่บริเวณวัดศรีอุดมวงษ์ อ.วังสะพุง จ.เลย โดยศาลนัดสืบพยานโจทก์ ในวันที่ 1ตุลาคม นี้ เวลา 09.00 น.ซึ่งคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธ
ขณะที่นายหนุ่ย หรือติ๊งต่างนั้น เมื่อวันที่ 28 มีนาคม2557 ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดพระโขนงได้มีคำพิพากษา ในคดีหมายเลขแดงที่ 990/2557 ให้จำคุกตลอดชีวิต จากพฤติการณ์กระทำความผิดลักษณะเดียวกันนี้ด้วยการกระทำชำเราและฆ่าน้องการ์ตูนอายุ 6 ขวบ บริเวณพื้นที่รกร้าง ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสแบริ่ง
0 Response to "ตัดสินประหาร "หนุ่ย ติ๊งต่าง" ข่มขืนฆ่าเด็กหญิง - สารภาพลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต"
Post a Comment