เขย่าขวัญ! สาววัย 28ปี จ้างมือปืนฆ่า "พ่อ แม่" อันเป็นที่รัก หลังสืบรู้อะไรบางอย่างจนคนต้องพูดถึง!


 คดีเขย่าขวัญสะท้อนปัญหาพ่อแม่ในสังคมไทย ที่คาดหวังให้ลูกตัวเป็น “เด็กเก่ง” เพื่อให้เป็นหน้าเป็นตาในสังคมของพ่อแม่ ล่าสุดได้มีการเปิดเผย ความกดดันจนกลายเป็นการโกหกซ้ำซาก และถึงขั้นกลายเป็นโศกนาฏกรรมสลดทั่วแคนาดา เมื่อเจนนิเฟอร์ พาน(Jennifer Pan) สาวชาวแคนาดาเชื้อสายเวียดนามวัย 28 ปีก่อเหตุ จ้างมือปืน 3 คน ปลิดชีพพ่อและแม่ของตนเอง ซึ่งเป็นผู้หนีภัยการเมืองจากเวียดนาม หลังพวกเขาสืบรู้ว่า เธอไม่ได้เรียนเก่งติดท็อปเทนมาตลอด จนสามารถเข้าศึกษาต่อเข้าคณะเภสัชกรรมในมหาวิทยาลัยโตรอนโต ชั้นนำของแคนาดาได้ รวมไปถึงทำงานในห้องวิจัยตรวจเลือดที่โรงพยาบาลเด็ก SickKids
     
       เดอ ซิดนีย์ มอร์นิง เฮอรัลด์ สื่อออสเตรเลีย รายงานวันนี้(28) ถึงคดีฆาตกรรม Huei Hann Pan ผู้เป็นพ่อ และ Bich Ha Pan ผู้เป็นแม่ สองสามีภรรยาผู้อพยพจากเวียดนาม เข้ามาตั้งถิ่นฐานในแคนาดา เลี้ยงชีพด้วยการพนักงานในโรงงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์แห่งหนึ่ง และความคาดหวังอย่างแรงกล้าต้องการให้เจนิเฟอร์ พาน ลูกสาวคนโต และ เฟลิกซ์ บุตรชาย ของคนทั้งคู่มีการศึกษาที่ดี และมีอนาคตแจ่มใส
     
       เจนนิเฟอร์ พาน หญิงสัญชาติแคนาดาวัย 28 ปี บุตรคนโตของคนทั้งคู่ อาศัยในเมือง Markham ทางเหนือของกรุงโตรอนโต ต้องแต่งเรื่องและปกปิดพ่อแม่ของเธอมาตลอดว่า เธอเป็นเด็กเรียนเก่งระดับเกรดเฉลี่ย 4.00จากโรงเรียนมัธยมแคทอลิกแมรี วาร์ด  (Mary Ward) และได้ทุนการศึกษา รวมไปถึงได้รับการเสนอให้เข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาตั้งแต่เธอยังไม่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย และเป็นไปตามความคาดหวังของ Huei Hann Panผู้เป็นพ่อ พานสามารถสร้างเรื่องว่าสำเร็จการศึกษาจากคณะเภสัชกรรมจากมหาวิทยาลัยโตรอนโตที่เก่าและมีชื่อเสียงในระดับประเทศของแคนาดา
     
       และการโกหกของพานยังเลยเถิดไปถึงความสามารถในการเข้าทำงานในห้องทดลองตรวจเลือดที่โรงพยาบาลดเด็ก SickKids ของแคนาดา
     
       แต่ในชีวิตจริงของพาน วัย 28 ปี กลับไม่แม้กระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับของนั่น
     
       และในปัจจุบันนี้ เธอยังต้องถูกตัดสินใช้ความผิดจากคดีจ้างมือปืนเพื่อเจตนาปลิดชีพของผู้มีพระคุณในเรือนจำแคนาดา ที่ตัวเธอมีความคิดเพียงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากการบีบบังคับของคนทั้งคู่
     
       และซึ่งความจริงในเรื่องนี้ดูไม่ต่างมากนักจากหลายครอบครัวในสังคมไทยทุกวันนี้ ซึ่งพ่อแม่ต่างต้องการให้บุตรหลานมีความสามารถเหนือคนอื่นในด้านการเรียน โดยเฉพาะในฤดูการสอบเข้าเรียนต่อ
     
       ทั้งนี้จากการรายงานของสื่อออสเตรเลียถึงเรื่องราวที่มีสีสันแต่สุดเศร้าของเจนนิเฟอร์ พาน ที่ถูกตีแผ่เป็นครั้งแรกในสัปดาห์ที่ผ่านมาในนิตยสารโตรอนโต ไลฟ์ ระบุว่า การโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรื่อง “ความสามารถด้านการศึกษา” ของพานนั้นเป็นเสมือนความภาคภูมิใจของ Huei Hann Panและ Bich Ha Pan จนกระทั่งคนทั้งคู่รับรู้ความจริงว่า ทุกสิ่งที่พานบอกกับพวกเขา “ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น”
     
       พ่อแม่ของพานเป็นเหมือนกับพ่อแม่โดยทั่วไปในสังคมเอเชีย จะเทิดทูนลูกที่มีความสามารถและประสบความสำเร็จด้านการศึกษาและการงานแซงหน้าคนอื่นได้ เพราะในสังคมคนทั่วไปในเอเชีย เช่น ไทย จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ อินเดีย และรวมไปถึงญี่ปุ่น ล้วนแต่ทุ่มเทความสนใจด้านการศึกษาของเด็กมาเป็นอันดับหนึ่ง ในขณะที่บิดามารดาชาวสหรัฐฯจะให้ความสำคัญกับด้านสุขภาพของเป็นอันดับแรกเมื่อยามเล็ก รวมไปถึงการที่ลูกวัยรุ่นสามารถมีงานทำได้เพื่อส่งเสียตัวเองเข้าวิทยาลัยเพื่อศึกษาต่อ
     
       แต่ถ้าหากว่า เมื่อลูกในสังคมเอเชียไม่สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างที่คาดหวังแล้ว สถานภาพความเป็นคนพิเศษในบ้านจะถูกเปลี่ยนไปในทันที และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพาน วัย 28 ปี ที่ตามสื่ออสเตรเลียระบุว่า แม้เธอจะอยู่ในวัยผู้ใหญ่ บรรลุนิติภาวะตามกฏหมายแล้วก็ตาม แต่ทว่าเมื่อเรื่องราวการโกหกของเธอถูกเปิดเผยให้ผู้เป็นพ่อและเป็นแม่ได้รับทราบ ทั้ง Huei Hann Panและ Bich Ha Pan กลับเลือกปฎิบัติต่อพาน เหมือนกับเธอเพิ่งอายุ 3 ขวบ ด้วยการไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือ รวมไปถึงห้ามไม่ให้ใช้คอมพิวเตอร์ และยังรวมไปถึงห้ามการพบปะกับออกเที่ยวกับแฟนหนุ่ม แดเนียล หว่อง (Daniel Wong) ที่รู้จักกันตั้งแต่วัยเยาว์
     
       เพราะจากการทุ่มเทเลี้ยงดูของคนทั้งคู่ที่มีให้กับพานและน้องชายเฟลิกซ์ ( Felix) ที่มีอายุห่างจากพานไป 3 ปี มุ่งหวังให้คนทั้งคู่ต้องจดจ่ออยู่แต่กับการศึกษาเล่าเรียน ด้วยการห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมอื่นๆทั้งหมดด้วยเกรงว่าจะกระทบไปถึงผลการเรียน
     
       ทั้งนี้วอชิงตันโพสต์รายงานเพิ่มเติมว่า พานในระดับมัธยมศึกษาถูกเลี้ยงดูด้วยความเข้มงวด
     
       ซึ่งการปฎิบัติประเภทนี้พบกันมากในสังคมพ่อแม่เชื้อสายเอเชียที่เดินทางไปตั้งรกรากในสหรัฐฯและแคนาดา ที่ลูกซึ่งเป็นเด็กและเติบโตในสิ่งแวดล้อมตะวันตกยากที่จะปรับตัวกับพ่อแม่ผู้อพยพ และแน่นอนที่สุด ยังรวมไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศในแถบเอเชีย เป็นต้นว่า ไทย และญี่ปุ่น ที่มักพบเห็นปัญหาสะท้อนสังคมประเภทนี้อยู่ในเนื้อหาของละครโทรทัศน์ที่นำเสนอการตีแผ่แง่มุมของชีวิต และจากข่าวหน้าหนึ่งเสมอ
     
       ทั้งนี้จากการรายงานของโฮในโตรอนโต ไลฟ์พบว่า พานถูกห้ามไม่ให้ไปร่วมงานปาร์ตีสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนคนอื่นๆในวัยเดียวกันทั้งๆที่เธออาศัยอยู่ในสังคมโลกตะวันตกที่เสรี เช่น แคนาดา
     
       คาเรน โฮ เพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยมของเธอกล่าวว่า แม้พานจะมีอายุเกือบ 22ปีแล้ว แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ไปปาร์ตีในกลุ่มเพื่อน หรือหากมีกิจกรรมที่ต้องทำ เธอต้องไปพร้อมกับผู้ปกครองทุกครั้ง
     
       และแน่นอนที่สุดสื่ออสเตรเลียชี้ว่า ทั้ง Huei Hann Pan และ Bich Ha Pan ห้ามไม่ให้พานออกเดตกับเพื่อนชาย โดยเธอต้องตั้งหน้าตั้งตาเรียนพิเศษภาคค่ำ และยังไม่รวมถึงกิจกรรมเสริมอื่นๆเพื่อให้เธอมีความโดดเด่นกว่าเด็กอื่นๆเป็นต้นว่า ฟิกเกอร์สเกต เล่นเปียโน ศิลปะป้องกันตัว และว่ายน้ำ เป็นต้น
     
       ดังนั้นการได้ยินจากปากของพานว่า เธอไม่ได้เป็นนักเรียนเกรดเฉลี่ย 4.00 อย่างที่เคยโกหกเรื่อยมา ทำให้ความรู้สึกของ Huei Hann Pan และ Bich Ha Pan พ่อแม่ที่ต้องลี้ภัยทางการเมืองเข้ามาแคนาดาในปี 1979 และต้องอยู่อย่างยากลำบากในสังคมใหม่ นั้นผิดหวังอย่างรุนแรงที่รับทราบความจริงในตอนท้าย
     
       คาเรน โฮ (Karen Ho )นักข่าวสาวชาวแคนาดาเชื้อสายชาวฮ่องกงประจำนิตยสาร “โตรอนโต ไลฟ์” และยังเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยมแคทอลิกแมรี วาร์ด ในสคาร์โบโรห์เหนือ(Scarborough) เขียนบทความชิ้นนี้ โดยอ้างอิงจากหลักฐานในชั้นศาล รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์และการสอบปากคำ เพื่อปะติดปะต่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับพาน รวมไปถึงมหกรรมการโกหกของเธอ ภายใต้งานเขียนหัวข้อ “Jennifer Pan’s Revenge: the inside story of a golden child, the killers she hired, and the parents she wanted dead” หรือ การแก้แค้นของ เจนิเฟอร์ พาน : เรื่องลับของอภิชาติบุตรที่ถูกเก็บเงียบ “นักฆ่าที่เธอจ้าง และพ่อแม่ที่เธอหวังให้จบชีวิต”ผ่านนิตยสารโตรอนโต ไลฟ์ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2015
     
       โดยโฮกล่าวว่า โรงเรียนมัธยมของคนทั้งคู่เป็นโรงเรียนแบบสหศึกษาที่มีการเรียนรวมกันทั้งชายและหญิง รวมไปถึงมีนักเรียนที่มีที่มาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผิวขาว หรือผิวเหลือง ซึ่งนอกจากที่พานจะเรียนหนังสือในช่วงกลางวันในวันระหว่างสัปดาห์แล้ว เธอยังมีงานอดิเรก เป็นต้นว่า ว่ายน้ำ และฝึกวูซูอีกด้วย
     
       แต่ทว่าจากการค้นพบของโฮเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ซึ่งมักแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเอง และการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีในโรงเรียนแล้ว แต่ทว่าภายใต้เปลือกนอกที่พานได้สร้างขึ้นนั้นกลับปกปิดความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง อับอาย และความรู้สึกที่โหยหาตลอดเวลา
     
       และสิ่งที่เป็นประจักษ์พยานถึงตัวตนจริงของพานที่มีคนจำนวนน้อยที่ได้พบคือ “ร่องรอยการทำร้ายตัวเองที่มีบาดแผลบริเวณต้นแขน”
     
       นอกจากนี้โฮยังพบว่า เพื่อที่จะทำให้พ่อและแม่ที่คาดหวังกับการศึกษาสูงด้วยคะแนนเกรดเฉลี่ย 4.00 ที่ในความจริงแล้วพานเป็นเด็กที่นักเรัยนที่เรียได้ในระดับเกรด B เท่านั้น เป็นผลทำให้พานต้องเริ่มต้นการ “ปลอมแปลงเอกสารทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอ” เพื่อให้สอดคล้องเรื่องราวที่เธอสร้างขึ้น เป็นต้นว่า สมุดแสดงผลการเรียน จดหมายทุนการศึกษา รวมไปถึงทรานสคริปต์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ความเป็น “เด็กเก่ง” เอาไว้
     
       โฮกล่าวว่า ในความจริงแล้ว เพื่อนเธอคนนี้ไม่แม้กระทั่งจะสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และไม่ต้องพูดถึงการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเหมือนดังเช่นพานได้กล่าวอ้าง
     
       โฮกล่าวต่อว่า พานแก้ผลการเรียนในสมุดรายงานผลการศึกษาตลอดช่วงมัธยมปลาย และเธอยังได้รับพิจารณาจากทางมหาวิทยาลัยให้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยไรซัน(Ryerson) ในเมืองโตรอนโตในขณะที่เธอยังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมปลาย แต่ทว่าเป็นเพราะพานไม่สามารถผ่านการสอบวิชาแคลคูลัสในปีสุดท้ายของการเรียน จึงทำให้เธอไม่สามารถสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาไปได้ และมีผลทำให้มหาวิทยาลัยไรซันแห่งนี้ได้ยกเลิกสิทธิ์การเข้าศึกษาต่อ
     
       และโฮยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงเพื่อนคนนี้ว่า และเป็นเพราะพานเกรงว่า พ่อและแม่ของเธอจะขุดคุ้ยประวัติการเรียนช่วงมัธยมปลาย จึงทำให้เธอตัดสินใจโกหกกับคนทั้งคู่ว่า เธอจะเริ่มเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยไรซันในภาคฤดูใบไม้ผลิ
     
       โดยพานกล่าวว่า เธอวางแผนจะเข้าศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เป็นเวลา 2 ปีที่นั่นก่อนที่จะขอทรานสเฟอร์ไปยังคณะเภสัชศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต อันเก่าแก่และมีชื่อ ซึ่งเป็นความหวังสูงสุดของ Huei Hann Pan ผู้เป็นพ่อ และถึงกับทำให้เขาซื้อคอมพิวเตอร์โนตบุ๊กเป็นของขวัญ
     
       ด้านพานที่เริ่มต้นโกหกไปแล้ว ดำเนินการต่อด้วยการซื้อหนังสือเรียนเท็กซ์บุ๊กมือสองเกี่ยวกับวิชาชีววิทยาและวิชาฟิสิกต์รวบรวมไว้ รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องเขียนสำหรับการเรียนเพื่อตบตาผู้เป็นพ่อและแม่
     
       และเมื่อมาถึงเรื่องค่าเล่าเรียน สื่อออสเตรเลียรายงานว่า เป็นอีกครั้งที่พานต้องปลอมแปลงเอกสารที่ระบุในตอนแรกว่า เธอได้รับทุนกู้ยืม OSAP แต่เธอกลับบอกกับบิดาว่าเธอได้รับทุนการศึกษามูลค่า 3,000  ดอลลาร์แคนาดา และในทุกวันพานต้องแบกหนังสือและอุปกรณ์การเรียนมุ่งหน้าเข้าเมืองไปดาวน์ทาวน์ โดยเดินทางด้วยระบบการขนส่งสาธารณะของแคนาดาไปยังห้องสมุดประชาชน เพื่อทำให้ทั้ง Huei Hann Pan และ Bich Ha Pan ต่างเข้าใจผิดว่า เธอได้เดินทางไปเข้าชั้นเรียนสม่ำเสมอ
     
       และในยามสำเร็จการศึกษาจากมหวิทยาลัยโตรอนโต พานต้องโกหกพ่อแม่อีกครั้งว่า คนทั้งคู่ไม่สามารถเข้าร่วมพิธีสำเร็จการศึกษาของพานได้ เพราะไม่มีบัตรเข้างานจำนวนมากพอ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นทำให้คนทั้งคู่สงสัย และบีบบังคับให้พานต้องรับสารภาพในเวลาต่อมา
     
       ซิดนีย์ มอร์นิง เฮอรัลด์ รายงานต่อว่า พานยังรู้สึกเคียดแค้นบิดามารดาของตัวเองในสิ่งที่เธอได้รับ ที่ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับเสรีภาพมากขึ้นกว่าเดิม และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมีความคิดว่า ชีวิตของเธอจะสุขขนาดไหน...หากไม่มีคนทั้งคู่อยู่ต่อในโลกใบนี้ จากสาเหตุที่คนทั้งคู่ทำให้พานรู้สึกเหมือนต้องถูกจองจำแต่ในบ้านทั้งชีวิต
     
       ทั้งนี้ในแผนการฆ่าคนทั้งคู่จากชั้นไต่สวนของศาลแคนาดา ทำให้รับรู้ว่า พานได้จัดฉากให้ดูเหมือนโจรพร้อมอาวุธเข้ามาปล้นบ้านตัวเอง โดยตัวเธอสวมบทบาทเป็นพยานในเหตุการณ์ที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เมื่อเดวิด มิลวากานาม (David Mylvaganam) เลนฟอร์ด ครอว์ฟอร์ด ( Lenford Crawford) และอีริก คาร์ธี( Eric Carty) คนทั้ง 3 ที่ถูกเธอจ้างวานเพื่อเป็นมือสังหารโหดพ่อและแม่
     
       และจากการจัดฉากปล้นในครั้งนั้น เป็นผลทำให้ Bich Ha Pan ผู้เป็นแม่ เสียชีวิตจากกระสุน ในขณะที่ Huei Hann Pan ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนพานผู้เป็นลูกสาว และอยู่ในที่เกิดเหตุ ได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือเหตุสายด่วนฉุกเฉิน 911 เพื่อกลบเกลื่อนให้สมจริง
     
       สื่ออสเตรเลียยังรายงานต่อว่า ในการเสนอข่าวในช่วงนั้น กลับกลายเป็นว่า เป็นเหตุบุกเข้าปล้นอุกอาจไม่เลือกหน้าของกลุ่มโจร และทำให้หญิงเจ้าของบ้าน 1 รายในเมือง Markham  ต้องจบชีวิตด้วยกระสุน
     
       โฮเปิดเผยต่อว่า ทั้งพ่อและแม่ของพานอดทนและขยันจนสามารถซื้อบ้านหลังใหญ่ที่มีที่จอดรถได้ถึง 2 คันในชุมชนที่สงบและปลอดภัยใน Markham ได้ก่อนปี 2004 ซึ่ง Huei Hann Pan ขับรถเบนซ์ ส่วน Bich Ha Pan ขับรถ Lexus ES 300 รวมถึงทั้งคู่มีเงินเก็บในธนาคารร่วม 200,000 ดอลลาร์แคนาดา
     
       ทั้งนี้ในการตัดสินโทษของพานและผู้สมรู้ร่วมคิด โฮกล่าวผ่านนิตยสารโตรอนโต ไลฟ์ว่า ในเดือนมกราคมล่าสุด ศาลแคนาดาพิพากษาตัดสินให้พานได้รับการลงโทษข้อหาฆ่าคนโดยเจตนา โดยการจำคุกตลอดชีวิตและไม่สามารถขอทำทัณฑ์บนได้เป็นเวลา 25 ปี ส่วนข้อหาพยายามฆ่านั้น ศาลตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นกัน โดยพานต้องชดใช้โดยการถูกจำคุกไปพร้อมกันทั้งสองข้อหา
     
       ส่วนมิลวากานามและครอว์ฟอร์ดถูกตัดสินโทษเช่นเดียวกับพาน ด้านคาร์ธีที่ไม่ยอมรับสารภาพในความผิด ศาลแคนาดาสั่งเลื่อนการพิพากษาไปในต้นปี 2016
     
       โฮนักข่าวสาว ผู้รายงานครั้งนี้กล่าวว่า ในท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นเหตุโศกนาฎกรรมเขย่าขวัญ และยังเป็นสิ่งที่เด็กเชื้อชาติเอเชียที่เกิดจากพ่อแม่ผู้อพยพในดินแดนตะวันตกต้องพบเจอเป็นส่วนใหญ่“เด็กเหล่านี้ต้องแบกรับความคาดหวังจากพ่อและแม่ไว้เป็นอันมาก และทำให้เกิดผลกระทบในระยะยาวต่อความต้านทานความล้มเหลวล้มเหลวหรือความผิดหวัง”
     
       และโฮยังกล่าวต่อ ผ่านการรายงานของซิดนีย์มอร์นิงเฮอรัลด์ ด้วยว่าว่า “และทำให้เด็กเชื้อสายเอเชียเหล่านั้นต้องเติบโตไปพร้อมกับความกลัวที่สะสมพอกพูนเก็บซ่อนไว้ภายใน ทั้งนี้การที่เจนนิเฟอร์ต้องโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า...เป็นเพราะเธอเชื่ออย่างหมดใจว่า “ไม่มีทางอื่นสามารถเลือกได้อีกแล้ว” ” 

     
       นอกจากนี้โฮกล่าวต่อว่า ชีวิตของเธอเองไม่ต่างจากเจนนิเฟอร์ เพื่อนของเธอมากนัก ซึ่งพ่อแม่ของเธอเป็นผู้อพยพมาจากฮ่องกงเพื่อตั้งหลักแหล่งในแคนาดา และคาดหวังว่าโฮจะเป็นที่ 1 ของชั้นเรียนโดยเฉพาะในวิชาวิทยาศาสตร์และวิชาคณิตศาสตร์
     
       โดยเธอสรุปว่า พ่อของเธอคาดหวังว่า ตัวเธอจะเป็น "อภิชาติบุตร" ที่จะเป็นเสมือนถ้วยรางวัลเพื่อที่คนทั้งคู่จะสามารถนำเรื่องความสำเร็จของเธอไปกล่าวโอ้อวดกับคนรู้จัก หรือเพื่อในวงสังคมของคนทั้งคู่ได้


0 Response to "เขย่าขวัญ! สาววัย 28ปี จ้างมือปืนฆ่า "พ่อ แม่" อันเป็นที่รัก หลังสืบรู้อะไรบางอย่างจนคนต้องพูดถึง!"

Post a Comment